ประวัติวัดเจ็ดลิน
ต.พระสิงห์เขต ๒ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
สถานที่ตั้ง
ตั้งอยู่ ณ เลขที่ ๖๙/๑ วัดเจ็ดลิน มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า } วัดหนองจลิน ~ ตั้งอยู่ภายในเขตกำแพงเมืองเชียงใหม่ ค่อนไปทางด้านทิศใต้ประตูเชียงใหม่ บนถนนสายพระปกเกล้า ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
สถานภาพ วัดเป็น วัดราษฏร์ สังกัดคณะสงฆ์ มหานิกาย สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม จึงประกาศยก วัด จลิน ขึ้นเป็นวัดมีพระภิกษุจำพรรษา และตั้งชื่อว่า } วัดเจ็ดลิน ~ เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฏาคม ๒๕๔๗
ทิศตะวันออก จรดที่ดินเลขที่ ๑๙ ถนนพระปกเกล้า
ทิศตะวันตก จรดที่ดินเลขที่ ๑๖ ทางสาธารณประโยชน์
ทิศเหนือ จรดที่ดินเลขที่ ๑๖ .....๑๗ .....๙๖ ทางสาธารณประโยชน์
ทิศใต้ จรดที่ดินเลขที่ ๑๙ ......๒๐ ...... ทางสาธารณประโยชน์
หลักฐานทางโบราณคดี เจดีย์ ๑ องค์ และพระพุทธรูป ๑ องค์ ประดิษฐานในอาคารชั่วคราวมุงด้วยหลังคาสังกะสี
วัดเจ็ดลิน มีเนื้อที่ประมาณ ๗ ไร่ ....... ๒ งาน ๑๑ วา ตามในใบโฉนด
วัดเจ็ดลิน หรือหนองจลิน ไม่ปรากฏหลักฐานหรือตำนานเกี่ยวกับวัดนี้โดยตรง แต่พบชื่อและที่ตั้งของวัดนี้ในโคลงโบราณชื่อ โคลงนิราศหริภุญชัย ซึ่งแต่งขึ้นในปี พ.ศ. ๒๐๖๐ สมัยพญาเมืองแก้ว กษัตริย์เชียงใหม่ลำดับที่ ๑๑ ( พ.ศ. ๒๐๓๘ – ๒๐๖๘ )
เขียนถึงวัดเจ็ดลินดังนี้
เจ็ดลินลุแล้วเล่า ศาลาเลิศเอ่
คองคู่สานเสน่หา แห่งนั้น
วรลักษณ์เลิศรสา สวรรค์เทพ ทิพเอ่
สาแผ่นดินใดดั้น พี่ด้นหาอาวรณ์
( จากโคลงนิราศหริภุญชัย หน้า ๒๒ – ๒๒ )
จากโคลงนิราศหริภุญชัย สันนิษฐานว่า วัดเจ็ดลิน จะสร้างขึ้นก่อน พ.ศ. ๒๐๖๐ อย่างน้อยสร้างขึ้นในสมัยพญาเมืองแก้ว ตอนปลายของราชวงศ์มังราย ประมาณ ๔๕๐ ปีมาแล้ว
สมัยพระเมกุฏวิสุทธิวงศ์ กษัตริย์ลำดับที่ ๑๗ ของราชวงศ์มังราย ปกครอง พ.ศ. ๒๐๙๔ – ๒๑๐๑ ก่อนขึ้นเสวยราชและเสด็จไปสรงน้ำมูรธาภิเษกที่วัดเจ็ดลิน ได้พบหลักฐานตำนานเชียงใหม่ เขียนว่า เมื่อพระเมกุฏวิสุทธิวงศ์ ทำพิธีราชาภิเษกขึ้นปกครองเมืองเชียงใหม่ พระองค์ได้เสด็จไปเปลี่ยนเครื่องทรงสีขาว ( นุ่งขาว – ห่มขาว ) ที่วัดผ้าขาว แล้วพระองค์ได้เสด็จไปทำพิธีลอยเคราะห์ที่วัดหมื่นตูม จากนั้นเสด็จไปสรงน้ำมูรธาภิเษกที่วัดเจ็ดลินคำ หรือวัดเจ็ดลิน ดังมีข้อความในตำนานดังนี้
} ก็เชิญกษัตริย์เจ้าไปลอยเคราะห์ที่วัดหมื่นตูม นอนหั้นแลได้ ๓ วัน แล้วไปอุสสาราชหล่อน้ำพุทธาภิเษก สุคนธาด้วยสุวัณณหอยสังข์ที่ วัดเจ็ดลิน หั้นแล~
( ตำนานเชียงใหม่ หน้า ๑ )
จากข้อความในตำนานเชียงใหม่ดังกล่าวข้างต้น วัดเจ็ดลิน เรียกชื่อว่า วัดเจ็ดลินคำ เป็นวัดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ พระมหากษัตริย์จะเสด็จมาสรงน้ำมูรธาภิเษกที่วัดนี้ สันนิษฐานว่า วัดเจ็ดลินนี้ จงเป็นวัดที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ล้านนามาก และเชื่อว่าเป็นวัดที่กษัตริย์แห่งราชวงศ์เม็งรายเป็นผู้สร้าง เพราะมีเจตนาสร้างไว้ใช้ในราชพิธีราชาภิเษกโดยเฉพาะ ( วัดผ้าขาว – วัดหมื่นตูม – วัดเจ็ดลิน อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน สะดวกต่อการกระทำราชพิธี ) อีกอย่างหนึ่งชื่อของวัดจะบ่งบอกหน้าที่ของวัดได้
วัดเจ็ดลินเป็นวัดที่เคยใช้เป็นสถานที่สรงน้ำในพระราชพิธีราชาภิเษกของกษัตริย์ล้านนา คือพระเมกุฏิวิสุทธิวงศ์ หรือท้าวแม่กุ
คำว่า ลิน เป็นภาษาของชาวล้านนา หมายถึง รางน้ำ เจ็ดลินก็หมายถึงรางน้ำเจ็ดรางที่ใช้ในพิธีราชาภิเษก เพื่อให้ขุนนางประชาชนได้สรงน้ำกษัตริย์ เวียงเจ็ดลินที่ห้วยแก้ว เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๗ ได้ขุดพบว่าสร้างรางน้ำหรือลินที่ทำด้วยไม้สำหรับรับน้ำจากห้วยแก้วมาใช้ในเวียงถึง ๗ ราง เวียงนี้จึงเรียกว่า เวียงเจ็ดลิน ( ปัจจุบันคือบริเวณสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลและฟาร์มโคนมห้วยแก้ว ) ปัจจุบันรางน้ำนั้นเก็บรักษาไว้ที่ห้องเครื่องถ้วยที่คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ( จากคำบอกเล่าของ ดร. ฮันส์ เพนธ์ )
สมัยพม่าปกครอง พม่าปกครองเมืองเชียงใหม่ในฐานะเมืองขึ้น ๒๐๐ ปี ( พ.ศ. ๒๑๐๑ – ๒๓๑๗ ) ไม่ปรากฏหลักฐานว่า วัดเจ็ดลินมีสภาพเช่นไร สันนิษฐานว่าอาจจะไม่ร้างหรือร้างไปไม่อาจจะทราบได้ แต่เมื่อพระยากาวิละได้ทิ้งเมืองเชียงใหม่เป็นเป็นเมืองร้างไป ๒๐ ปี ระหว่าง พ.ศ. ๒๓๑๘ – ๒๓๓๘ วัดเจ็ดลินคงจะร้างไป จากหลักฐานที่หน่วยศิลปากรที่ ๔ ขุดหารากฐานของวิหาร เมื่อ วันที่ ๑๔ กันยายนศกนี้นั้น คุณสถาพร ขวัญยืน หัวหน้าหน่วยศิลปากรที่ ๔ ได้สัมภาษณ์ว่า ขุดพบเศียรพระพุทธรูป ลักษณะไม่มีมาลาซึ่งเป็นเศียรพระประธานของวัดนี้ตกอยู่บริเวณด้านหลังของพระประธาน สันนิษฐานว่าเมืองเชียงใหม่ร้าง วัดนี้คงจะร้างไป เศียรพระประธานคงจะชำรุดตกลงเพราะพระศอรับน้ำหนักไม่ไหวจึงตกลงมาด้านหลังของพระประธานต่อมาเมื่อชาวบ้านคงจะร่วมมือกันบูรณะและสร้างเศียรพระประธานขึ้นมาใหม่อย่างที่แลเห็นอยู่ในปัจจุบัน
( เฉพาะกิจภูธร, รายงานประชาชน, หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันที่ ๖ ต.ค. ๒๕๓๒ หน้า ๒๑ )
และต่อมา เมื่อปี ๒๕๔๙ พระเทพวรสิทธาจารย์ ได้มอบหมายให้พระมหาวิษณุ จารุธมโม เริ่มบูรณะพระประธาน เมื่อวันที่ ๑ กรกฏาคม ๒๕๔๙ พร้อมลงรักปิดทองเสร็จเมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๔๙ ถือว่าเป็นพระพุทธรูปที่สวยงามที่สุดองค์หนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ที่แลเห็นอยู่ในปัจจุบัน
สมัยรัตนโกสินทร์ – รัชกาลที่ ๕
พบข้อความจากเอกสารใบลานที่จารด้วยอักษรไทยวน เกี่ยวกับรายชื่อวัดในเชียงใหม่ พบรายชื่อวัดเจ็ดลินอีกครั้งหนึ่ง เขียนว่าวัดนี้ตั้งอยู่บริเวณประตูเชียงใหม่ มีพระอธิการชื่อ สิริไช ยังไม่ได้เป็นพระอุปัชฌาย์ นิกายของวัด นิกายเชียงใหม่ รองอธิการไม่มี พระลูกวัดไม่มี แต่พรรษาที่แล้วมีพระภิกษุ ๑ องค์ และเณร ๒ องค์ วัดนี้ขึ้นกับวัดพันเตา
( รายชื่อวัดและนิกายสงฆ์โบราณในเชียงใหม่ หน้า ๖ )
จากหลักฐานใบลานกล่าวว่า วัดเจ็ดลิน ในปีที่เขียนรายชื่อวัดนี้ คือ พ.ศ. ๒๔๔๐ วัดนี้เป็นวัดที่ยังมีพระภิกษุสงฆ์จำพรรษาอยู่ สันนิษฐานว่าจะมาร้างไปในภายหลัง ประมาณก่อน พ.ศ. ๒๔๐๒ ซึ่งเป็นปีที่ทางราชการได้ออกโฉนดวัดเจ็ดลินเป็นที่ธรณีสงฆ์ วัดนี้จะต้องร้างไปก่อน พ.ศ. ๒๔๘๒ อาจจะประมาณ พ.ศ. ๒๔๗๕ ก็อาจเป็นไปได้ เพราะเป็นระยะเวลาที่บ้านเมืองตกอยู่ในสภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำ ชาวบ้านราษฎรไม่สามารถอุดหนุนหรืออุปถัมภ์วัดในเชียงใหม่ได้ทุกวัด พระภิกษุที่อยู่ในสมัยที่วัดในเชียงใหม่เริ่มร้าง ได้เล่าว่าสาเหตุที่วัดต่างๆ จำนวนมากต้องร้างไป เพราะมีจำนวนวัดมากกว่าจำนวนศรัทธารวมทั้งจำนวนพระภิกษุสามเณรที่จะมาบวชน้อย ชาวบ้านจึงให้พระสงฆ์มาอยู่รวมกันแล้วปล่อยให้วัดร้างไป เช่น วัดจอกแก้ว ( กรมที่ดินเชียงใหม่ ) ร้างไปรวมกับวัดนางเหลียว ( โรงเรียนยุพราช )วัดกิติ ( โรงเรียนอนุบาลเชียงใหม่ ) เป็นต้น
( สัมภาษณ์ ครูบาแก้ว จนทวงโส วัดดอกเอื้อง โดยผู้เขียน )
หลักฐานทางด้านโบราณคดี วัดเจ็ดลิน มีเจดีย์ใหญ่ ๑ องค์ และอาคารชั่วคราวมุงด้วยสังกะสีมีพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย ๑ องค์
ลักษณะขององค์พระเจดีย์ เป็นเจดีย์สี่เหลี่ยมผสมทรงกลม ประกอบด้วยฐานหน้ากระดาน ๓ ชั้น รองรับฐานบัวย่อเก็จแบบพิเศษ ที่ประกอบด้วยฐานบัวลูกแก้ว ๒ ฐานซ้อนอยู่ในฐานเดียวกัน ลักษณะฐานเช่นนี้ เป็นแบบแผนที่พบในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ลงมา เหนือขึ้นไปเป็นฐานหน้ากระดานย่อเก็จ ๓ ชั้น รองรับเรือนธาตุ ที่ซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปทั้ง ๔ ทิศ ( พระพุทธรูปในซุ้ม ๔ องค์นั้นไม่รู้ว่าใครเป็นผู้เก็บรักษาไว้ เหลือแต่ซุ้มเปล่า ) ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๗ นายพรศิลป์ รัตนชูเดช หรืออาจารย์พรศิลป์ รัตนชูเดช อาจารย์มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่ วัดสวนดอก พร้อมคณะ ได้เป็นเจ้าภาพพระพุทธรูปหินผสมทรายนำมาจากจังหวัดพะเยา นำขึ้นไปบรรจุไว้ที่ซุ้มพระเจดีย์ทั้ง ๔ ด้าน เหนือเรือนธาตุขึ้นไปเป็นมาลัยเถาขนาดใหญ่ชำรุด รองรับองค์ระฆังขนาดเล็ก ยอดชำรุด สันนิษฐานว่าเจดีย์องค์นี้ควรมีอายุ ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ลงมา
( สุรพล ดำริห์กุล อธิบาย ในรายการวิจัย “ วัดร้างในเวียงเชียงใหม่ หน้า ๓๒ )
ลวดลายที่ตกแต่งองค์เจดีย์ มีลักษณะเหมือนลวดลายที่ตกแต่งซุ้มประตูและเจดีย์องค์ใหญ่ที่ใช้เป็นที่บรรจุพระอัฐิของพญาติโลกราช วัดเจ็ดยอด สันนิษฐานว่าจะได้รับอิทธิพลจากวัดเจ็ดยอด และวัดโลกโมฬี
( สัมภาษณ์ มารุต อมรานนท์ มหาวิทยาลัยนครินทรวิโรฒบางแสน ๒๕๒๘ โดย ผู้เขียน )
การฟื้นฟูวัดเจ็ดลิน ( วัดร้าง )
เนื่องจากวัดเจ็ดลินเคยเจริญรุ่งเรืองมาในอดีต มีองค์พระเจดีย์ตั้งตระหง่านอยู่อย่างสง่างาม และมีหนองน้ำขนาดใหญ่และยังสมบูรณ์อยู่ คณะสงฆ์ ร่วมกับคณะศรัทธาและประชาชน มีเจตจำนงที่จะพัฒนาฟื้นฟูวัดประวัติศาสตร์ แห่งนี้ให้กลับคืนสู่สภาพเดิมที่เคยรุ่งเรืองมาแล้ว เพื่อจัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาและพัฒนาหนองน้ำให้สะอาด เพื่อรักษาสถานที่ประวัติศาสตร์ไว้ให้แก่ลูกหลานในอนาคตได้ภาคภูมิใจ ดังนั้นคณะสงฆ์จังหวัดเชียงใหม่ จึงมอบหมายให้ พระญาณสมโพธิ ( ธงชัย สุวณณสิริ) เจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยสุเทพฯ และเจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงใหม่ ครั้นต่อมาได้รับเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นที่พระราชสิทธาจารย์ และขึ้นมาเป็นรองเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ และต่อมาได้รับเลื่อนสมณศักดิ์อีก เป็นที่พระเทพวรสิทธาจารย์ ให้เป็นประธานพัฒนาฟื้นฟูวัดเจ็ดลิน ตั้งแต่วันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๔๖ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จฯ พระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ในวโรกาศเจริญพระชนมายุครบ ๖ รอบ ๗๒ พรรษา และพัฒนาหนองน้ำที่กว้างใหญ่เป็นหนองน้ำที่ใสสะอาด สวยงาม ให้คงเป็นหนองน้ำแห่งประวัติศาสตร์ คู่เมืองเชียงใหม่ต่อไป และในวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๔๖ ได้ทำพิธีวางศิลาฤกษ์ อาคารวิหารวัดเจ็ดลิน โดย พระครูสุภัทรสีลคุณ ( ครูบาดวงดี ) ปัจจุบันคือ พระมงคลวิสุต วัดท่าจำปี ต. ทุ่งสะโตก อ. สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ เป็นผู้วางศิลาฤกษ์ พร้อมกับพระเทพวรสิทธาจารย์ มีประชาชนมาร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก
ยกวัดเจ็ดลิน ( ร้าง ) ขึ้นเป็นวัดมีพระสงฆ์จำพรรษา
สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้ยกวัดเจ็ดลิน ( ร้าง ) ขึ้นมาเป็นวัดเจ็ดลินที่มีพระสงฆ์จำพรรษา เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น